ไวอากร้า ยาปลุกอารมณ์หญิง ยาปลุกอารมณ์ชาย ยาปลุกเซ็ก ยาอึด ยาทน ยาแข็ง

อาการท้องเสีย บ่อยเกิดจากอะไร

อย่างแรกที่เราพูดถึงคือ ท้องเสีย หรือ อุจจาระร่วง (Diarrhea) คืออาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 24 ชม. โดยทั่วไปอาการท้องเสียมักเกิดขึ้น และอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรือด้วยการทานยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาผงถ่านคาร์บอน โดยอาการท้องเสียหรืออุจจาระร่วง มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิ ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในกรณีที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้ร่างกายขาดสารน้ำจนอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้ามีอาการท้องเสียที่มีมูกเลือดปน ตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไป ควรรีบพบแพทย์

ท้องเสีย แบ่งออกเป็น 3 แบบ

  1. ท้องเสียแบบเฉียบพลัน (Acute diarrhea) เป็นอาการท้องเสียทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน โดยจะมีอาการประมาณ 1-3 วัน จากนั้นโดยส่วนมากอาการจะทุเลาลงและค่อย ๆ หายไปเอง โดยไม่ต้องใช้ยารักษาโรค
  2. ท้องเสียแบบต่อเนื่อง (Persistent diarrhea) เป็นอาการท้องเสียแบบต่อเนื่องประมาณ 2-4 สัปดาห์
  3. ท้องเสียแบบเรื้อรัง (Chronic diarrhea) เป็นอาการท้องเสียแบบต่อเนื่องเกิน 4 สัปดาห์ หรือเป็นๆหายๆ ต่อเนื่องเรื้อรังเป็นระยะเวลายาวนาน

ท้องเสีย มีสาเหตุจาก

ท้องเสีย หรืออุจจาระร่วง ส่วนมากมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตที่ปะปนอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่

  • การติดเชื้อไวรัสในกระเพาะอาหาร และลำไส้
  • การติดเชื้อไวรัสโรต้า ไวรัสที่มักพบเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือปรสิตในระบบทางเดินอาหาร ผ่านทางอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด หรืออาหารเป็นพิษ
  • การรับประทานอาหารที่มีรสจัด หรืออาหารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารอาหาร
  • โรคซีลิแอค หรืออาการแพ้กลูเตน ในอาหารจำพวกแป้งบางชนิด เช่น แป้งสาลี
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • อาการแพ้น้ำตาลแลคโตส น้ำตาลฟรุกโตส หรือแพ้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
  • ยารักษาโรคบางชนิด เช่นยาปฎิชีวนะ ยาต้านมะเร็ง และยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
  • ความผิดปกติในการดูดซึมอาหาร
  • โรคมะเร็งตับอ่อน หรือตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ตับอ่อนทำหน้าที่ในการผลิตน้ำย่อย หากมีภาวะอักเสบจะทำให้ระบบการย่อยและการดูดซึมไขมันทำได้ไม่ดี ทำให้มีอาการถ่ายเหลวในที่สุด
  • เนื้องอกที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนในลำไส้เพิ่มการหลั่งสารคัดหลั่ง ทำให้ถ่ายเหลว
  • รังสีรักษา

ท้องเสีย มีอาการอย่างไร

ท้องเสีย หรืออุจจาระร่วงมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันไป ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงระดับรุนแรง ทั้งนี้อาการท้องเสียในระดับที่รุนแรงอาจมีความเชื่อมโยงกับโรคที่มีความซับซ้อนบางชนิดที่ต้องได้รับวินิจฉัย และทำการรักษาโดยแพทย์ อาการของโรคท้องเสียมีดังนี้

  • ปวดท้อง ปวดเกร็ง หรือปวดบิด
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีไข้ ปวดศรีษะ
  • หน้าแดง และผิวแห้ง
  • อุจจาระมีเลือดปน
  • อุจจาระมีมูก หรือเมือกปน
  • ถ่ายอุจจาระบ่อย
ท้องเสีย

ภาวะแทรกซ้อนของอาการท้องเสีย อาการท้องเสียอาจทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดสารน้ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา ภาวะขาดสารน้ำเป็นอันตรายอย่างยิ่งในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หากผู้ที่ท้องเสีย มีสัญญาณของภาวะขาดสารน้ำอย่างรุนแรง ให้รีบนำส่งแพทย์ โดยเร็วที่สุด

การรักษาอาการท้องเสีย

อาการท้องเสียแบบเฉียบพลัน สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาผงถ่านคาร์บอน หรือผงเกลือแร่ โอ อาร์ เอส แต่หากอาการท้องเสียมีระยะเวลาต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน มีไข้สูง และมีเลือดปนในอุจจาระ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการท้องเสียอย่างละเอียด โดยแพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ และทำการรักษาด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป ตามสาเหตุของโรคท้องเสีย ได้แก่

  1. ยาปฏิชีวนะ แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะหรือยาถ่ายพยาธิ เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย หรือปรสิต อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
  2. การใช้ยารักษาเฉพาะอาการ อาการท้องเสียอาจแสดงออกซึ่งสัญญาณของโรคอื่น ๆ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคโครห์น โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบชนิดไมโครสโคปิก หรือภาวะแบคทีเรียที่เติบโตมากผิดปกติในลำไส้ เมื่อแพทย์สามารถระบุสาเหตุของอาการท้องเสียได้แล้ว แพทย์จึงจะสามารถทำการรักษาโรคได้อย่างตรงจุด
  3. โปรไบโอติก แพทย์อาจใช้โปรไบโอติก ซึ่งเป็นจุลชีพชนิดดีช่วยในการรักษา โดยจุลชีพเหล่านี้จะต่อสู้กับแบคทีเรียที่ไม่ดีอันเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยการให้โปรไบโอติก ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น

อาการท้องเสียเป็นอาการที่เราทุกคนสามารถพบเจอได้ในช่วงชีวิต อาการท้องเสียอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากร่างกายขาดน้ำ และการสูญเสียเกลือแร่ จนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ สิ่งสำคัญคือ ต้องดื่มน้ำเกลือแร่ให้มาก ๆ เพื่อชดเชยของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไป หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ล้างมือเป็นประจำ และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวันเพื่อป้องกันโรคท้องเสีย

หากมีอาการท้องเสีย หรือมีอาการแทรกซ้อนจากท้องเสีย หรือมีอาการท้องเสียเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลที่มีความพร้อมของบุคคลาการทางการแพทย์ผู้ชำนาญการ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อช่วยให้การวินิจฉัยโรคและการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิ